ตอนที่ 2: ทำไมรถแฮทช์แบค ถึงต้องมีที่ปัดน้ำฝนหลังด้วยนะ?
หลายๆคนคงเคยสงสัยว่า ทำไมรถแฮทช์แบคส่วนใหญ่ถึงมีที่ปัดน้ำฝนหลังติดตั้งมาจากโรงงาน แต่สำหรับรถซีดานแล้ว แทบจะไม่มีรถรุ่นไหนที่มีใบปัดน้ำฝนหลังเลย คิดแล้วก็น่าสงสัย ทำไมถึงเป็นแบบนี้นะ? แต่อย่างไรก็ตาม ผมเชื่อว่าหลายๆ คนคงจะทราบคำตอบของคำถามนี้แล้ว แต่สำหรับคนที่ยังไม่ทราบ เชิญค้นหาคำตอบได้ในบทความนี้เลยครับ
คิดๆ แล้วมันก็น่าแปลก เพราะว่ากระจกหลังของรถแฮทช์แบคจะมีความชันมากกว่า เมื่อฝนตกแล้ว น้ำฝนจะไหลผ่านลงไปอย่างรวดเร็ว และจะไม่มีเม็ดน้ำฝนเกาะตามกระจก เพราะฉะนั้น รถแฮทช์แบคไม่ต้องมีใบปัดน้ำฝนหลังก็ได้หนิ แต่ว่าทำไม รถแฮทช์แบคเกือบทุกค่ายถึงติดตั้งใบปัดน้ำฝนหลังมาให้นะ?
ในทางตรงกันข้าม กระจกหลังของรถซีดานจะลาดเอียงกว่ามาก แถมยังมีขนาดใหญ่กว่ามาก เมื่อฝนตกแล้ว เม็ดฝนจะไหลลงมาช้ากว่า และในบางครั้งที่ฝนตกไม่หนักมาก (ฝนปรอยๆ) จะทำให้เม็ดฝนเกาะอยู่ที่กระจก ซึ่งจะทำให้ทัศนวิสัยแย่ลงอย่างมาก ว่าแต่ว่า…ทำไมรถซีดานส่วนใหญ่ถึงไม่มีใบปัดน้ำฝนหลังนะ?
จากข้อสมมติฐานข้างต้น เราสามารถสรุปได้ว่า ใบปัดน้ำฝนหลังนั้น ไม่จำเป็นสำหรับรถแฮทช์แบค แต่ทำไมโรงงานเค้าถึงติดตั้งมาให้? ในทางตรงกันข้าม รถซีดานควรจะมีใบปัดน้ำฝน แต่ว่ามันก็ไม่มี?
ความจริงแล้ว ปัจจัยสำคัญที่อยู่เบื้องหลังของคำถามนี้ก็คือ “แอโรไดนามิคส์” นั่นเอง แอโรไดนามิคส์ของรถแฮทช์แบคและซีดานนั้นมีความแตกต่างกัน โดยเฉพาะการไหลของอากาศบริเวณท้ายรถ ซึ่งการไหลของอากาศท้ายรถนี่เอง จะเป็นตัวกำหนดว่า รถคันนั้นๆ มีความจำเป็นที่จะต้องติดตั้งใบปัดน้ำฝนหลังหรือไม่
เพราะฉะนั้น ในบทความนี้ ผมจะขอหยิบยก 2014 Mazda 3 ที่เพิ่งจะเปิดตัวเมื่อไม่นานมานี้ มาเพื่อวิเคราะห์การไหลของอากาศและเปรียบเทียบกันระหว่างเวอร์ชั่นซีดานและแฮทช์แบค และแน่นอนว่า Mazda 3 เวอร์ชั่นแฮทช์แบคนั้น มีการติดตั้งใบปัดน้ำฝนหลังมาให้ทุกรุ่น ตั้งแต่รุ่นต่ำสุดไปจนถึงรุ่นท็อป แต่สำหรับเวอร์ชั่นซีดานนั้น ไม่มีใบปัดน้ำฝนมาให้เลยแม้แต่รุ่นเดียว
สังเกตจากรูปข้างบน สำหรับรถแฮทช์แบค อากาศที่ไหลบริเวณท้ายรถจะเกิดเป็นลมหมุน ซึ่งลมหมุนนี้เองจะพัดเอาละอองน้ำและละอองฝุ่นขึ้นมาจากถนนและไปเกาะอยู่ที่กระจกหลัง ทำให้ทัศนวิสัยของกระจกหลังแย่ลง เพราะเหตุนี้จึงต้องมีการติดตั้งใบปัดน้ำฝนหลังมาให้เพื่อใช้ทำความสะอาดละอองฝุ่นนั่นเอง
สำหรับการไหลของอากาศของรถซีดาน ก็เกิดเป็นลมหมุนเช่นเดียวกัน แต่ทว่าเป็นลมหมุนที่มีขนาดเล็กกว่ามาก ลมหมุนเหล่านี้จะพัดเอาละอองฝุ่นขึ้นมาจากถนนเช่นเดียวกัน แต่จุดที่น่าสังเกตก็คือ ลมหมุนที่เกิดขึ้นหลังรถซีดานจะไม่พัดขึ้นไปที่กระจกหลัง แต่จะหมุนวนอยู่ที่บริเวณกันชนหลังเท่านั้น เพราะฉะนั้น กระจกหลังของรถซีดานจึงไม่ค่อยมีละอองฝุ่นมาเกาะ และจึงไม่มีความจำเป็นใดๆ ที่ต้องใช้ที่ปัดน้ำฝนหลัง
อย่างไรก็ดี มีรถซีดานบางคันที่ถูกติดตั้งใบปัดน้ำฝนหลังมาจากโรงงาน ยกตัวอย่างเช่น Mitsubishi Lancer Evolution 8 จะสังเกตได้อย่างชัดเจนว่ากระจกหลังของ Lancer คันนี้มีความชันมากกว่ารถซีดานโดยทั่วไป เพราะเหตุนี้ทำให้มีโอกาสที่จะเกิดลมหมุนที่สูงขึ้นมาถึงกระจกหลัง และเนื่องจาก Mitsubishi Lancer Evolution 8 คันนี้ เป็นรถสายพันธุ์แรลลี่ที่ต้องคลุกฝุ่นคลุกโคลนอยู่เป็นประจำ ดังนั้นจึงจำเป็นที่จะต้องมีการติดตั้งใบปัดน้ำฝนหลังมาให้เพื่อใช้ทำความสะอาดกระจกหลังนั่นเอง
เพราะฉะนั้น เราสามารถสรุปได้ว่า ใบปัดน้ำฝนหลังนั้น หลักๆแล้วใช้สำหรับทำความสะอาดฝุ่นที่มาเกาะกระจกหลังเสียมากกว่า และนอกจากนั้น เรายังสามารถสรุปได้ว่า ความจำเป็นในการติดตั้งใบปัดน้ำฝนหลังนั้น ขึ้นอยู่กับมุมลาดเอียงของกระจกหลัง ถ้ารถคันไหนมีกระจกหลังที่มีมุมลาดเอียงมาก(รถซีดานส่วนใหญ่) ก็ไม่จำเป็นต้องติดตั้งที่ปัดน้ำฝนหลัง แต่ถ้ารถคันไหนที่มีกระจกหลังทำมุมเกือบจะตั้งฉากกับพื้นถนน(รถแฮทช์แบคส่วนใหญ่) รถพวกนี้จำเป็นต้องติดตั้งใบปัดน้ำฝนหลัง เพื่อทำความสะอาดละอองฝุ่นบริเวณกระจกที่เกิดจากลมหมุนบริเวณท้ายรถ
บทความเรื่อง “ซีดาน ปะทะ แฮทช์แบค” ตอนที่ 1 อ่านได้ที่ ระหว่างซีดานและแฮทช์แบค คันไหนกันแน่ ที่มีแอโรไดนามิคส์ดีกว่ากัน