บริษัท นิช คาร์ กรุ๊ป จำกัด ผู้นำเข้าและจัดจำหน่ายรถยนต์แมคลาเรนอย่างเป็นทางการเพียงรายเดียวในประเทศไทย เผยโฉม แมคลาเรน 600 แอลที ครั้งแรกในประเทศไทย ณ งานไทยแลนด์ อินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์ เอ็กซ์โป 2018 ครั้งที่ 35 ระหว่างวันที่ 29 พฤศจิกายน – 10 ธันวาคม 2561 ณ บูธ A11 อาคารชาเลนเจอร์ อิมแพค เมืองทองธานี
แมคลาเรน 600 แอลที คือสมาชิกลำดับที่ 4 แห่งตระกูล LT (Longtail) ในกลุ่มสปอร์ตซีรีส์ (Sport Series) มุ่งเน้นที่ประสิทธิภาพสูงสุด และทรงพลังสูงสุดในกลุ่มเดียวกัน พัฒนาจากวิศกรรมยานยนต์ชั้นเลิศของสายพันธุ์รถแข่ง GT ขนานแท้ เพิ่มความแรงและน้ำหนักเบา พร้อมเพิ่มประสิทธิภาพแอโรไดนามิก ด้วยเครื่องยนต์ V8 ความจุ 3.8 ลิตร ทวินเทอร์โบชาร์จ ส่งมอบขุมพลัง 600 แรงม้า และแรงบิดสูงสุด 620 นิวตันเมตร
ความแรงและเร็วเปรียบดั่งกระสุนเงิน ยกระดับตำนานตระกูล LT คลาสสิก ให้ก้าวล้ำสู่อนาคต ด้วยความเบาจากโครงสร้างคาร์บอนไฟเบอร์ รับประกันความรู้สึกร่วมของผู้ขับที่จะสัมผัสได้ถึงการตอบสนองที่รวดเร็วและชาญฉลาดยิ่งขึ้น เพื่อการขับบนท้องถนนที่ถูกต้องตามกฎหมาย แต่ยังคงคาแรกเตอร์ของรถสปอร์ต
เมื่อเปรียบเทียบกับรุ่น 570เอส คูเป้ รถแมคลาเรน 600 แอลที มีน้ำหนักที่เบากว่าถึง 96.4 กิโลกรัม ซึ่งเป็นผลมาจากการใช้ชิ้นส่วนคาร์บอนไฟเบอร์ และการใช้แชสซีส์ MonoCell II คาร์บอนไฟเบอร์ที่มีน้ำหนักเบาลงถึง 75 กิโลกรัม พร้อมล้ออัลลอยที่ออกแบบให้มีน้ำหนักเบาพิเศษ พัฒนาระบบกันสั่นสะเทือน เพิ่มประสิทธิภาพ front track รวมถึงการปรับการตกแต่งภายในที่คำนึงถึงการใช้ประโยชน์สูงสุด พร้อมพุ่งทะยานสู่ท้องถนนด้วยศักยภาพที่เหนือชั้นเต็มรูปแบบ
การปรับปรุงระบบความเย็นและการพัฒนาระบบระบายไอเสียทำให้ แมคลาเรน 600 แอลที พุ่งทะยานด้วยความแรงและดุดันยิ่งขึ้น ด้วยระบบ Active Dynamics Panel และเบาะนั่งรถแข่ง จะขับบนท้องถนนหรือสนามแข่งก็ง่ายดายสูงสุด นอกจากนั้นด้านหลังของรถยังเพิ่มขึ้น 47 มิลลิเมตร ช่วยเพิ่มแรงกดอากาศ และสมรรถภาพที่ดียิ่งขึ้นในการเข้าโค้งที่ความเร็วสูง ในขณะเดียวกันก็ยังคงรักษาความดิบและความรู้สึกร่วมของผู้ขับต่อการตอบสนองของระบบเบรกน้ำหนักเบา ปีกนกคู่อะลูมิเนียม และยาง Pirelli P Zero TroFeo R ที่สร้างสรรค์ขึ้นเพื่อ แมคลาเรน 600 แอลที โดยเฉพาะ เพิ่มความเร้าใจในการขับสูงสุด
วิทวัส ชินบารมี กรรมการผู้จัดการ บริษัท นิช คาร์ กรุ๊ป จำกัด เปิดเผยรายละเอียดเกี่ยวกับการเปิดตัว แมคลาเรน 600 แอลทีว่า “นิชคาร์เปิดจำหน่ายแมคลาเรน 600 แอลที ซึ่งจะนำเข้ามาในประเทศไทยเพียง 6 คันเท่านั้น ด้วยราคาเริ่มต้น 24.7 ล้านบาท การเปิดตัวซูเปอร์คาร์ในประเทศไทย ที่งานไทยแลนด์ อินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์ เอ็กซ์โปครั้งนี้ ถือเป็นไฮไลต์ครั้งสำคัญ และเป็นโอกาสของแฟนรถทุกท่านที่จะได้ร่วมยลโฉมการออกแบบ และประสิทธิภาพระดับตำนานของแมคลาเรนได้อย่างใกล้ชิด”
ในงาน ไทยแลนด์ อินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์ เอ็กซ์โป 2018 ในครั้งนี้ นอกจาก แมคลาเรน 600 แอลที แล้ว บริษัท นิช คาร์ กรุ๊ป จำกัด ยังได้นำ แมคลาเรน 720เอส ซูเปอร์คาร์เจเนอเรชั่น 2 ในกลุ่มซูเปอร์ ซีรีส์ ที่ได้เปิดตัว ณ โชว์รูม นิช คาร์ เมื่อเดือนมิถุนายน มาจัดแสดงในงานครั้งนี้ด้วย แมคลาเรน 720เอส มีความทรงพลังถึง 720 แรงม้า เบากว่าและแรงยิ่งกว่า แมคลาเรน 650เอส รุ่นก่อนหน้า และพื้นที่ภายในที่พัฒนาสูงสุดเพื่อความสนุกในการขับที่มากกว่า พร้อมด้วย แมคลาเรน 570 เอส คูเป้ คือผู้นำในรุ่นด้วยโครงสร้างคาร์บอนไฟเบอร์ และเครื่องยนต์ทวินเทอร์โบขนาด 3.8 สร้างความเร้าใจในการขับ ทั้งนี้ แมคลาเรน Rolling Chassis คือส่วนที่น่าตื่นเต้นสำหรับแฟนรถยนต์ตัวจริง ที่จะได้มีโอกาสยลโฉมยานยนต์จากบริทิชที่มีเทคโนโลยีและชื่อเสียงระดับชั้นนำของโลก
ข้อมูลรถยนต์รุ่นแมคลาเรน 600 แอลที (McLaren 600 LT)
ภาพรวมแมคลาเรน 600แอลที
เดิมที แมคลาเรน เอฟ1 ไม่ได้ถูกออกแบบเพื่อใช้ในการแข่งขัน แต่เมื่อผลิตออกมาแล้วกลับได้รับความนิยมในการแข่งขันอย่างมาก โดยในการแข่งขันรายการ 24 ชั่วโมง เลอม็องส์ (24 Hours of Le Mans) ปี ค.ศ. 1995 รถแมคลาเรน เอฟ 1 จีทีอาร์ (McLaren F1 GTR) ซึ่งใช้งานสวนทางกับวัตถุประสงค์ในการสร้าง กลับสามารถเข้าเส้นชัยได้ทั้งอันดับ 1, 3, 4, 5 และ 13 นับเป็นผลลัพธ์ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนและทำให้แมคลาเรนกลายเป็นผู้ผลิตรถยนต์เพียงรายเดียวที่สามารถคว้าชัยชนะในการแข่งขันที่โด่งดังและสุดแสนอันทรหดระดับโลกได้ในการลงแข่งขันครั้งแรก และยังเป็นสถิติอันน่าภาคภูมิใจซึ่งยังไม่มีใครทำลายได้ตราบจนทุกวันนี้ หากนั่นยังไม่ใช่จุดสิ้นสุดของแมคลาเรน เอฟ 1 จีทีอาร์ เพราะรถยนต์รุ่นนี้ยังมีการพัฒนาไปจนถึงขั้นสูงสุด จนกลายเป็นหนึ่งในรถแข่งที่สมบูรณ์แบบที่สุดในประวัติศาสตร์ของวงการมอเตอร์สปอร์ตยุคใหม่ นั่นคือรุ่น ลองเทล (Longtail)
การผลิตซ้ำแมคลาเรน เอฟ 1 จีทีอาร์ ครั้งใหม่อันน่าตื่นใจเกิดขึ้นครั้งแรกในช่วงฤดูการแข่งขันปี 1997 และการยืดทรงตัวรถให้ยาวขึ้นอย่างสวยงามนี่เองที่ทำให้เกิดชื่อรุ่นอันเป็นเอกลักษณ์ โดยในช่วงแรกมีการผลิตขึ้นเพียง 9 คันหลังจากคันต้นแบบ ซึ่งนอกจากการสร้างช่วงตัวรถให้ยาวขึ้นเพื่อลดแรงต้านและเพิ่มแรงกดอากาศบนตัวรถ ยังมีการพัฒนาเพิ่มเติมภายใต้รูปลักษณ์ที่ยาวขึ้นนี้ อาทิ ระบบกันสะเทือนที่ปรับเปลี่ยนได้อย่างสมบูรณ์แบบและระบบเกียร์ซีเควนเชียล (Sequential transmission) นอกจากนี้ ยังมีการลดน้ำหนักในทุกส่วนประกอบ ซึ่งทำให้แมคลาเรน เอฟ 1 จีทีอาร์ “ลองเทล” มีน้ำหนักเบาขึ้นอีกมากกว่า 100 กิโลกรัมเมื่อเปรียบเทียบกับแมคลาเรน เอฟ 1 จีทีอาร์ ซึ่งเป็นรถที่มีน้ำหนักเบามากเจ้าของแชมป์รายการ 24 ชั่วโมง เลอม็องส์ ในปี ค.ศ.1995
การปรับแต่งขั้นสุดยอดนี้ก่อให้เกิดรถยนต์ที่เป็นหนึ่งในรถแข่งรุ่นจีทีที่มีความสวยงามมากที่สุดในยุคใหม่ และได้รับเสียงชื่นชมมากมายจากบรรดานักแข่งรถ โดยแมคลาเรน เอฟ 1 จีทีอาร์ “ลองเทล” สามารถคว้าชัยชนะได้ 5 รอบจากทั้งหมด 11 รอบในรายการ FIA GT Championship ของปีนั้น และเข้าส้นชัยเป็นอันดับ 1 และ 2 ในรุ่นจีที คลาส รายการ24 ชั่วโมง เลอม็องส์ ซึ่งคู่แข่งที่เข้าใกล้ที่สุดก็ยังอยู่ห่างไปถึง 30 รอบ
แมคลาเรนได้คืนชีพชื่อรุ่น “ลองเทล” อันเป็นตำนานอีกครั้งในงาน 2015 Geneva Motor Show ด้วยการเปิดตัวรถยนต์ที่เน้นเรื่องสมรรถนะสูงสุดในตระกูลซูเปอร์ ซีรีส์ นั่นคือ แมคลาเรน 675แอลที (McLaren 675LT) ซึ่งได้รับการออกแบบให้สืบทอดความเป็นเลิศของรถยนต์รุ่นก่อน ๆ เพราะ แมคลาเรน 675แอลที ถือเป็นซูเปอร์คาร์ของแมคลาเรนที่สื่อถึงเอกลักษณ์ของตระกูล Super Series ได้อย่างชัดเจนมากที่สุดจวบจนปัจจุบัน
และเพื่อการตอบสนองความต้องการของลูกค้าหลังรถยนต์รุ่นคูเป้ที่ผลิตในจำนวนจำกัดถูกจำหน่ายหมดลงอย่างรวดเร็ว แมคลาเรนจึงสร้างสรรค์รถยนต์รุ่นแมคลาเรน 675แอลที สไปเดอร์ (McLaren 675LT Spider) ซึ่งเป็นรุ่นเปิดประทุนที่เน้นสมรรถนะเร็วแรงสูงสุดเท่าที่แมคลาเรนเคยผลิตมา โดยรถตัวอย่างทั้ง 500 คันจำหน่ายหมดภายในเวลาเพียง 2 สัปดาห์เท่านั้น
แมคลาเรน 600แอลที คูเป้ (McLaren 600LT Coupé) ถือเป็นรถยนต์รุ่นที่ 4 ซึ่งใช้ชื่อแอลที และเป็นรถ “ลองเทล” รุ่นแรกในตระกูล Sports Series โดยจำหน่ายครั้งแรกในรูปแบบรถคูเป้ ซึ่งแมคลาเรน 600แอลที จะทำการผลิตในจำนวนจำกัด
ความแรงและเร็วเปรียบดั่งกระสุนเงิน
- น้ำหนักเบาขึ้น – เบาขึ้นถึง 69.4 กิโลกรัม
- ประสิทธิภาพอากาศพลศาสตร์ดีขึ้น – เพิ่มแรงกดอากาศบนตัวรถอย่างมีนัยสำคัญ
- กำลังแรงขึ้น – 600 แรงม้า
- ความเป็นหนึ่งเดียวกับรถยนต์ที่มากขึ้น – ตอบสนองนักขับได้เฉียบคมและฉับไวอย่างแท้จริง
- เร็วขึ้น – เพิ่มสมรรถนะวิ่งทางตรง ประสิทธิภาพอากาศพลศาสตร์ น้ำหนักเบา
- จำกัดจำนวนการผลิตอย่างเคร่งครัด
โครงสร้าง
- โครงสร้างซูเปอร์คาร์แบบคาร์บอนไฟเบอร์น้ำหนักเบา
- การใช้ชิ้นส่วนคาร์บอนไฟเบอร์เพื่อเสริมประสิทธิภาพอากาศพลศาสตร์อย่างครอบคลุม โดยใช้แทนส่วนประกอบอลูมิเนียมและสารประกอบคอมโพสิต
- โครงช่วงล่างคาร์บอนไฟเบอร์แบบ MonoCell II รุ่นใหม่ น้ำหนักเพียง 75 กิโลกรัม คุณสมบัติเบาขึ้น แข็งแรงขึ้น และคงตัวมากกว่าอลูมิเนียมหรือเหล็กกล้าที่มีคุณสมบัติเหมือนกัน
- ลดน้ำหนักในส่วนประกอบหลักทั้งคัน
- แมคลาเรน 600แอลที คูเป้ น้ำหนักเบากว่า 570เอส คูเป้ ถึง 96 กิโลกรัม
ดีไซน์
- ดีไซน์สไตล์รถแข่งที่ดุดัน พร้อมติดตั้งแพ็คเกจอากาศพลศาสตร์และโครงรถที่ยืดความยาว สมกับชื่อ แมคลาเรน “ลองเทล”
- ระบบกันสะเทือนแบบลดระดับความสูงและดีไซน์ร่องด้านหน้า มอบรูปลักษณ์ที่โฉบเฉี่ยว พร้อมล้ออัลลอยดีไซน์ใหม่สองแบบ ทั้งแบบ 5 หมุดและ 10 หมุด
- ดีไซน์ไฟหน้าดุดันยิ่งขึ้น เผยโครงคาร์บอนไฟเบอร์ ส่วนหลังคาที่ดูตัดกันชัดเจน และการตกแต่งภายในแบบ Alcantara® เต็มรูปแบบ ผสานกับการออกแบบที่โฉบเฉี่ยว สอดรับกับสีรถเข้มน้ำหนักเบาในโทนเมทัลลิกที่มอบความลึกลับน่าค้นหายิ่งกว่าเดิม
- การตกแต่งภายในเน้นการใช้ประโยชน์ มีน้ำหนักเบา เสริมสมรรถนะในสนามแข่ง โดยไม่มีการปูพรมพื้น ไม่มีกล่องเก็บสัมภาระ และติดเครื่องหมายที่ 12 นาฬิกาบนพวงมาลัย
สมรรถนะการขับขี่
- สมรรถนะระดับซูเปอร์คาร์ในกลุ่มรถยนต์ซูเปอร์-สปอร์ตคาร์ มอบอัตราเร่งแรงสุดในคลาสเดียวกัน
- รถยนต์ที่ทรงพลังสูงสุดในตระกูล Sport Series เท่าที่เคยผลิตมา ด้วยเครื่องยนต์ทวิน-เทอร์โบชาร์จ วี 8 แบบ 3.8 ลิตรเพื่อการแข่งขัน มอบกำลังเพิ่มขึ้น 30 แรงม้าและแรงบิดอีก 20 นิวตันเมตร
- การจูนเสียงแบบใหม่ด้วยระบบท่อไอเสียด้านบนที่แรงยิ่งกว่าเดิม
- การระบายความร้อนที่ดีขึ้นและลดแรงดันท่อไอเสียด้านหลัง ทำให้ 600แอลที พุ่งทะยานไปได้อย่างทรงพลังยิ่งขึ้น
การตกแต่งภายในห้องโดยสาร
- การตกแต่งภายในแบบ Alcantara® เน้นการใช้ห้องโดยสารที่เหมาะสมกับการแข่งขัน เพื่อลดน้ำหนักตัวรถให้เบาลง
- แผงควบคุม Active Dynamics Panel ช่วยให้นักขับสามารถตั้งค่าระบบเกียร์ส่งกำลังและการควบคุมของ 600แอลที ให้เหมาะสมกับสภาพถนนหรือสนามแข่งได้อย่างดีเยี่ยม
- อุปกรณ์มาตรฐานไม่รวมระบบปรับอากาศ ระบบนำทางด้วยดาวเทียม และระบบเครื่องเสียง (มีให้เลือกเป็นออพชั่นแบบไม่คิดค่าใช้จ่าย) เพื่อลดภาระน้ำหนักของตัวรถv
- ที่นั่งแบบรถแข่งโครงคาร์บอนไฟเบอร์ที่ใช้ครั้งแรกในรุ่นแมคลาเรน พี1 (McLaren P1™) ติดตั้งเป็นอุปกรณ์มาตรฐาน
- นำเทคโนโลยีของรถในตระกูล Ultimate Series มาใช้ใน 600แอลที และที่นั่งแบบรถแข่งโครงคาร์บอนไฟเบอร์มาจากแมคลาเรน เซนนา มีเป็นออพชั่นให้เลือกติดตั้งได้ตามต้องการ
ความเป็นหนึ่งเดียวกับนักขับ
- นิยามใหม่แห่งยานยนต์แอลที: เร็วแรง ดุดัน และโดดเด่นบนสนามแข่ง พร้อมมาตรฐานที่สอดคล้องกับกฎระเบียบการขับขี่บนท้องถนนสูงสุดของรถยนต์แมคลาเรนในตระกูล Sports Series
- ระบบเบรกน้ำหนักเบารุ่นใหม่ล่าสุด พร้อมปีกนกอลูมิเนียมหล่อคู่จากตระกูล Super Series เพื่อเพิ่มสัมผัสแห่งการขับขี่และลดภาระน้ำหนักตัวรถ
- ยางรุ่น Pirelli P ZERO™ Trofeo R พัฒนาขึ้นใหม่ เพื่อการพุ่งทะยานในสนามแข่งและความรู้สึกเป็นหนึ่งเดียวในการขับขี่
- มอบบริการ Pure McLaren Road Owner Track Day เพื่อการขับขี่ในสนามแข่งพร้อมคำแนะนำการขับขี่โดยผู้เชี่ยวชาญ ฟรีในแพ็คเกจ
อากาศพลศาสตร์
- ส่วนท้ายสูงขึ้น 47 มม. สมชื่อ “ลองเทล” เพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลงของแรงกดอากาศให้เพิ่มมากขึ้น
- เสริมส่วนประกอบตัวรถที่เพิ่มประสิทธิภาพอากาศพลศาสตร์จากวัสดุคาร์บอนไฟเบอร์ ซึ่งรวมถึงปีกหลังขนาดใหญ่ ดิฟฟิวเซอร์หลังอันทรงพลัง รวมถึงสปลิตเตอร์หน้าและสเกิร์ตข้างรุ่นใหม่
- แรงกดอากาศบนตัวรถโดยรวมมากกว่ารุ่น 570S ช่วยเพิ่มเสถียรภาพการเข้าโค้งด้วยความเร็วสูงและเพิ่มประสิทธิภาพในสนามแข่ง
- พื้นคาร์บอนไฟเบอร์ด้านหน้ารุ่นใหม่ออกแบบให้มีช่องอากาศเข้า ผ่านช่องระบบระบายความร้อนไปบนเบรกหน้า เพื่อให้สามารถระบายความร้อนสูงที่เกิดจากสมรรถะการขับขี่ที่สูงขึ้น
ข้อมูลด้านเทคนิค แมคลาเรน 600แอลที
รุ่นเครื่องยนต์ / เครื่องยนต์ M838TE 3.8 ลิตร ทวินเทอร์โบ วี8 3,799 ซีซี
ระบบขับเคลื่อน / ติดตั้งเครื่องยนต์ตามแนวแกนตัวรถ ขับเคลื่อนล้อหลัง
กำลังแรงม้าเครื่อง (เบรกฮอร์สพาวเวอร์/กิโลวัตต์) @รอบต่อนาที / 600 (592/441) @7,500
แรงบิด นิวตันเมตร (ปอนด์ ฟุต) @รอบต่อนาที / 620 (457) @5,500-6,500
ระบบส่งกำลัง / 7 สปีด กระปุกเกียร์แบบ SSG โหมด Normal, Sport และTrack
พวงมาลัย / พวงมาลัยไฮดรอลิกส์ไฟฟ้า
โครงช่วงล่าง / โครงคาร์บอนไฟเบอร์แบบ MonoCell II monocoque พร้อมโครงสร้างการชนอลูมิเนียมทั้งด้านหน้าและหลัง
ระบบกันสะเทือน / ตัวซับแรงแบบแปรผันอิสระ ปีกนกอลูมิเนียมคู่ โหมด Normal, Sport และTrack
ระบบเบรก / จานเบรกคาร์บอนเซรามิก (หน้า 390 มม. หลัง 380 มม.) คาลิเปอร์อลูมิเนียม (หน้า 6 ลูกสูบ หลัง 4 ลูกสูบ)
ล้อ (นิ้ว) / หน้า 8 x 19 นิ้ว หลัง 11 x 20 นิ้ว
ยาง / ยาง Pirelli P ZERO™ Trofeo R (เลือกแบบ P ZERO™ ได้โดย ไม่เสียค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม) หน้า 225/35/R19 หลัง 285/35/R20
ความยาวตัวรถ มม. (นิ้ว) / 4,604 (181.3)
ช่วงล้อ มม. (นิ้ว) / 2,670 (105.1)
ความสูง มม. (นิ้ว) / 1,194 (47.0)
ความกว้างรวมกระจกข้าง มม. (นิ้ว) / 2,095 (82.5)
ความกว้างพับกระจกข้าง มม. (นิ้ว) / 2,045 (80.5)
ความกว้างไม่รวมกระจกข้าง มม. (นิ้ว) / 1,930 (76)
ระยะล้อ (ถึงกึ่งกลางหน้าสัมผัส) มม. (นิ้ว) / หน้า1,680 (66.1) หลัง 1,591 (62.6)
น้ำหนักรถเปล่าที่เบาที่สุด กก. (ปอนด์) / 1,247 (2,749)
น้ำหนักรถเปล่า (ของเหลว + น้ำมัน 90%) กก. (ปอนด์) / 1,356 (2,989)
ความจุถังน้ำมัน ลิตร (หน่วย UK / US แกลลอน) / 72 (15.8 / 19)
ความจุสัมภาระ ลิตร / หน้า 150 ลิตร
ข้อมูลประสิทธิภาพ แมคลาเรน 600แอลที
0 -97 กม./ชม. (0-60 ไมล์/ชม.) 2.8 วินาที
0-100 กม./ชม. (0-62 ไมล์/ชม.) 2.9 วินาที
0-200 กม./ชม. (0-124 ไมล์/ชม.) 8.2 วินาที
0-300 กม./ชม. (0-186 ไมล์/ชม.) 24.9 วินาที
0-400 ม. / ¼ ไมล์ 10.4 วินาที
ความเร็วสูงสุด 328 กม./ชม. (204 ไมล์/ชม.)
200-0 กม./ชม. (124 ไมล์/ชม. -0) ระยะเบรก ม. (ฟุต) 117 (384)
100-0 กม./ชม. (62 ไมล์/ชม. -0) ระยะเบรก ม. (ฟุต) 31 (102)
อัตราการปล่อยไอเสีย กรัม/กม. หน่วย EU NEDC 266 (หน่วย EU WLTP: 276)
อัตราการใช้เชื้อเพลิง หน่วย EU ลิตร/100 กม. (หน่วย UK ไมล์/แกลลอน)
การคำนวณรวม 11.7 ลิตร/100 กม. (24.1 ไมล์/แกลลอน)
สภาวะในเมือง 16.3 ลิตร/100 กม. (17.3 ไมล์/แกลลอน)
สภาวะนอกเมือง 9.1 ลิตร/100 กม. (31.0 ไมล์/แกลลอน)
อัตราการใช้เชื้อเพลิง หน่วย EU WLTP ลิตร/100 กม. (หน่วยUK ไมล์/แกลลอน)
การคำนวณรวม 12.2 ลิตร/100 กม. (23.2 ไมล์/แกลลอน)
ติดตามข่าวสารได้ที่
Media website: www.bangkok.mclaren.com/
Facebook : www.facebook.com/mclarenautomotive , www.facebook.com/McLarenTH
You Tube: www.youtube.com/mclarenautomotivetv
หากต้องการข้อมูลเกี่ยวกับนิชคาร์กรุ๊ป กรุณาติดต่อ 02-321-1111 โชว์รูมเปิดบริการทุกวันจันทร์-อาทิตย์ ตั้งแต่เวลา 8.30 – 17.30 น.